ในขณะที่พวกเราวิ่งวุ่นเตรียมความพร้อม จัดรายละเอียดทุกอย่างสำหรับงานแต่งงานในฝัน บ่าว สาวหลายๆคู่อาจลืมเรื่องที่สำคัญมากสำหรับการวางแผนครอบครัวของเราค่ะ นั่นก็คือการตรวจร่างกายก่อนแต่งงาน เพื่อนๆทราบมั้ยคะว่าไวรัสบางตัว โรคบางโรค มันสามารถแพร่ไปที่แฟน กับลูกเราได้เลยนะ เพราะฉะนั้นการตรวจร่างกายไว้ก่อน และรับวัคซีนป้องกันไวรัสบางตัวถือเป็นการเตรียมความพร้อมให้ครอบครัวของเราปลอดภัยในระดับนึงเลยนะคะ วันนี้ทางเราอยากแนะนำ เชิญชวนให้คู่รักมาตรวจร่างกายก่อนแต่งงานกันค่ะเพื่อจะได้วางแผนครอบครัว การมีบุตร ไปดู ตรวจสอบกันเลยค่ะว่า คู่รักต้องตรวจอะไรกันบ้าง
1.ตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg)

ไวรัสตับอักเสบ มี 5 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบเอ บี ซี ดี และ อี โดยไวรัสที่เป็นปัญหาในบ้านเรา ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบบีและซี ไวรัสตับอักเสบบีนั้นติดต่อผ่านทางการสัมผัสสารคัดหลั่งจากร่างกายของผู้ป่วยโรคนี้ (เลือด น้ำลาย อสุจิ และน้ำหล่อลื่นจากอวัยวะเพศ) เช่นเดียวกับไวรัสตับอักเสบซีและดี ส่วนไวรัสตับอักเสบเอและอีนั้นจะติดต่อผ่านการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีวัคซีนที่ช่วยป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดบีและดีได้แล้ว การตรวจไวรัสตับอักเสบจึงมีส่วนสำคัญมากๆนะคะสำหรับคู่รักที่วางแผนจะมีบุตร
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง
ไวรัสตับอักเสบบี ทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับไวรัสชนิดอื่น และสามารถติดต่อได้ทางเลือด น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น และสารคัดหลั่งต่างๆ ของร่างกาย โดยวิธีการแพร่เชื้อที่เกิดขึ้นได้ เช่น
- การแพร่เชื้อจากมารดาไปสู่ทารกตั้งแต่ยังอยู่ในครรภ์
- การใช้เข็มร่วมกับผู้ป่วยโรคนี้ หรือการใช้อุปกรณ์ฉีดยาที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
- โดนเข็มที่ปนเปื้อนเชื้อตำ
- การได้รับเลือดหรือสารคัดหลั่งต่างๆ ผ่านทางการถ่ายเลือดหรือทางแผลเปิด
- การใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ติดเชื้อ เช่น แปรงสีฟัน หรือใบมีดโกน เนื่องจากเชื้อไวรัสตับอักเสบบีสามารถมีชีวิตอยู่นอกร่างกายผู้ป่วย ตามข้าวของเครื่องใช้เหล่านี้ได้เป็นเวลานานหลายสัปดาห์
- การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อโดยไม่ป้องกัน
2.โรคเอดส์ (HIV)
โรคนี้คงเป็นโรคที่ทุกคนรู้จักดีอยู่แล้ว ควรตรวจอย่างยิ่ง และควรตรวจทั้งคู่ด้วยนะคะ อย่าเขินเลย อย่ากลัวด้วย มาตรวจให้สบายใจดีกว่าค่ะ เป็นไม่เป็นอะไรยังไงได้สบายใจกันทั้งสองฝ่าย
ขอบคุณภาพจาก : https://www.honestdocs.co/aids-hiv-infection-and-prevention
โรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ที่เรียกว่า HIV ซึ่งไวรัสชนิดนี้จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของผู้ติดเชื้อทำงานบกพร่อง ในปัจจุบันยังไม่มีทางรักษาให้หายขาด ทำได้เพียง ควบคุมอาการและรักษาแบบประคอง จึงทำให้โรคเอดส์ เป็นโรคที่ใครๆ ต่างกลัว เพราะคิดว่าเป็นแล้วต้องเสียชีวิต แต่จริงๆ แล้วมีหนทางประคับประคองให้ผู้ติดเชื้อสามารถมีชีวิตยืนยาวได้นานนับสิบปี วันนี้เราจึงนำความรู้เกี่ยวกับโรคเอดส์มาฝาก เพื่อที่เราจะได้ทำความรู้จักโรคเอดส์อย่างลึกซึ้ง และวางแผนป้องกันโรคเอดส์ได้อย่างถูกต้อง
การติดต่อของโรคเอดส์มี 3 ทางดังนี้
1. การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อเอชไอวี
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นสาเหตุหลักของการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการมีเพศสัมพันธ์กับเพศใดก็ตาม ทั้งนี้จากข้อมูลของทางกองระบาดวิทยาระบุว่า 83% ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีนั้น ได้รับเชื้อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ทั้งสิ้น
2. การรับเชื้อทางเลือด
การติดเชื้อเอชไอวีพบได้ใน 2 กรณี คือ
2.1 ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือแม้แต่การใช้กระบอกฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งพบบ่อยในกลุ่มผู้เสพสารเสพติด หรือฉีดยาเข้าเส้น
2.2 รับเลือดมาจากการผ่าตัด หรือเพื่อรักษาโรคเลือดบางชนิด ในอดีตมีการติดเชื้อเอชไอวีจากช่องทางนี้ค่อนข้างมาก เพราะยังไม่มีการตรวจเลือดที่ละเอียดนัก แต่ปัจจุบันได้มีการนำเลือดที่รับบริจาคไปหาตรวจหาเชื้อก่อนทุกครั้ง ทำให้อัตราการติดเชื้อจากการรับเลือดลดลงอย่างมาก
3. การติดต่อผ่านแม่สู่ลูก
เกิดจากแม่ที่มีเชื้อเอชไอวีอยู่แล้วตั้งครรภ์ โดยเชื้อเอชไอวีจะถ่ายทอดสู่ลูกขณะคลอด แต่ปัจจุบันได้ค้นพบวิธีการป้องกันการแพร่เชื้อจากแม่สู่ลูกได้สำเร็จแล้ว โดยวิธีการรับประทานยาต้านไวรัสในช่วงตั้งครรภ์ จะช่วยลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อของทารกลงได้
3.ซิฟิสิส (syphilis)
ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดผื่นหรือแผลตามผิวหนัง และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงขึ้นหากไม่รักษา โรคนี้ไม่มีอาการเด่นชัดใดๆ เป็นได้ทั้งผู้ชาย ผู้หญิง ถ้าไม่มาตรวจนี่คนก็ไม่ค่อยจะรู้ตัวกันว่าเป็น ซึ่งอันตรายมาก เพราะแปลว่าเราจะสามารถแพร่โรคนี้ให้แฟนได้โดยไม่รู้ตัวเลยค่ะ แล้วโรคนี้มันก็อันตรายด้วยนะ เพราะเชื้อมันลามขึ้นระบบประสาท ขึ้นสมองได้
เชื้อแบคทีเรียที่เป็นตัวการให้เกิดโรคซิฟิลิสสามารถแพร่จากคนไปสู่คนผ่านการสัมผัสแผลที่เกิดจากโรคโดยตรง แผลดังกล่าวมักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือภายในช่องปาก ดังนั้นการมีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือการออรัลเซ็กส์กับผู้ป่วยซิฟิลิส จึงล้วนทำให้เกิดการติดเชื้อได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้เชื้อยังสามารถติดต่อได้โดยการจูบ หรือสัมผัสแผลบริเวณหน้าอก แผลในปาก หรืออวัยวะเพศ ส่วนหญิงตั้งครรภ์ที่ติดเชื้อนี้ก็สามารถแพร่เชื้อไปยังทารกในครรภ์ ทำให้เกิดโรคซิฟิลิสแต่กำเนิด ซึ่งอาจส่งผลให้ทารกมีความผิดปกติ หรือเสียชีวิตได้
4.ตรวจกรุ๊ปเลือด
กรุ๊ปเลือด, กรุ๊ปโลหิต, หมู่เลือด หรือหมู่โลหิต (Blood group หรือ Blood type) คือ ตัวบ่งบอกความแตกต่างของเลือด ซึ่งสามารถทราบได้จากการเจาะเลือด โดยดูจากสารที่มีชื่อว่า “แอนติเจน” (Antigens) เป็นสำคัญ การทราบกรุ๊ปเลือดของตัวเองถือเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรรู้ เนื่องจากจะช่วยให้แพทย์ให้ความช่วยเหลือได้อย่างทันทีเมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายเลือด (Blood Transfusion)
ทั้งนี้ ความแตกต่างของแอนติเจนในแต่ละคนจะถูกถ่ายทอดมาทางพันธุกรรม หากพ่อหรือแม่มีกรุ๊ปเลือดใด เด็กก็จะมีกรุ๊ปเลือดเหมือนพ่อหรือแม่คนใดคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นการตรวจหมู่เลือดก็มีส่วนสำคัญมากๆเช่นกันนะคะ เพราะถ้ามีบุตรเราก็จะได้รู้ว่าบุตรอาจมีหมู่เลือดเหมือนพ่อหรือเเม่ค่ะ
5.ธาลัสซีเมีย(Thalassemia)
ธาลัสซีเมีย (Thalassemia) คือโรคโลหิตจางชนิดหนึ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม เกิดจากความผิดปกติใน การสังเคราะห์ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin) ซึ่งเป็นโปรตีนสำคัญในเม็ดเลือดแดง ฮีโมโกลบินทำหน้าที่ลำเลียงออกซิเจนจากปอดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียไม่สามารถสร้างโปรตีน โกลบินได้ตามปกติหรืออาจสร้างได้น้อยลง ส่งผลให้เม็ดเลือดแดงของผู้ป่วยเกิดพยาธิสภาพ ขาดความยืดหยุ่น และมักจะถูกม้ามทำลาย นำไปสู่ภาวะโลหิตจางหรือภาวะซีด (Anemia) และทำให้เม็ดเลือดแดงลำเลียงออกซิเจนไปส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้น้อยลง
อาการของธาลัสซีเมีย
อาการของธาลัสซีเมียจะรุนแรงแตกต่างกันไปตามประเภทของธาลัสซีเมียที่เป็น โดยอาการของโรคสามารถแบ่งตามระดับความรุนแรงได้ ดังนี้
- ชนิดที่มีความรุนแรงสูง เด็กอาจเสียชีวิตในครรภ์หรือหลังคลอดออกมาได้ไม่นาน โดยทารกจะบวมน้ำ ซีดมาก ท้องโตจากการที่ตับและม้ามโต และหัวใจวาย
- ชนิดที่มีความรุนแรง เด็กอาจเริ่มมีอาการในขวบปีแรก และอาการจะมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเด็กจะอ่อนเพลีย ผิวซีดหรือเหลืองคล้ายเป็นดีซ่าน ท้องโตจากการที่ตับและม้ามโต กระดูกใบหน้าผิดปกติ โดยกระดูกตรงใบหน้าจะยุบ จมูกแบน โหนกแก้มสูง คางและกระดูกขากรรไกรใหญ่ แคระแกร็นหายใจลำบากหรือเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยตามร่างกาย
- ชนิดที่มีความรุนแรงน้อยถึงปานกลาง เด็กจะมีอาการซีด ซึ่งอาจต้องได้รับการให้เลือดเป็นครั้งคราว รวมทั้งรู้สึกเหนื่อยง่าย
โรคธาลัสซีเมียศึกษาเเเล้วเป็นอย่างไงกันบ้างค่ะ แต่อย่างไงก็นับว่าเป็นโรคที่ต้องตรวจทั้งสองคนกันเลยนะคะ เพราะเราจะได้รู้ว่าบุตรที่เกิดมาจะมีโอกาสผิดปกติอะไรบ้างค่ะ